7 เทคนิคการเสนอขายแบบมืออาชีพ ครบเครื่องสำหรับเซลส์ยุคใหม่

             ในโลกที่มีการแข่งขันสูงเช่นปัจจุบัน เทคนิคการเสนอขายและการพรีเซนต์สินค้าได้กลายเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักขาย (Sales) ซึ่งนอกจากจะต้องส่งมอบสินค้าแก่ผู้บริโภคแล้ว ยังต้องรู้จักแก้ปัญหา สร้างสรรค์คุณค่า และสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้อีกด้วย

             หากคุณเป็นนักขายรุ่นใหม่ที่ต้องการมากกว่าแค่ยอดขาย แต่อยากสร้างความประทับใจแก่ผู้บริโภคอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ วันนี้เราขออาสามาบอกต่อ 7 เทคนิคการเสนอขายแบบมืออาชีพ ที่จะช่วยยกระดับให้คุณเป็นนักขายที่แตกต่าง ถ้าพร้อมแล้ว มาดูกันเลยว่าเทคนิคการเสนอขายทั้ง 7 ข้อมีอะไรบ้าง !

พนักงานขายกำลังศึกษาเทคนิคการเสนอขายให้มีประสิทธิภาพ

เทคนิคการเสนอขายมีอะไรบ้าง และจะช่วยยกระดับการขายได้อย่างไร

Interpersonal skills ทักษะที่นักขายมืออาชีพต้องมี

             ก่อนจะพาไปหาคำตอบว่าเทคนิคการเสนอขายมีอะไรบ้าง เราอยากจะขอพูดถึงปัจจัยที่มีส่วนช่วยส่งเสริมทักษะการขายอย่าง Interpersonal Skills กันก่อนสักเล็กน้อย เนื่องจากการขายและพรีเซนต์สินค้าเป็นการทำงานที่ต้องอาศัย Interpersonal Skills หรือความสามารถในการสื่อสาร การโต้ตอบ และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทักษะดังกล่าวนับว่าเป็นทักษะพื้นฐานที่นักขายควรมี และจากสาเหตุข้อนี้ เราจึงอยากให้นักขายทุกคนพัฒนา Interpersonal Skills ทั้งในส่วนของการสื่อสารด้วยวาจา ภาษากาย ตลอดจนการรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นอยู่เสมอ เพื่อให้ตัวเองสามารถนำเทคนิคเสนอขายทั้ง 7 ข้อที่เราหยิบมาแนะนำกันด้านล่างไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

เทคนิคการเสนอขายและการพรีเซนต์สินค้า เพื่อก้าวสู่การเป็นนักขายมืออาชีพ

1. เทคนิคการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening Technique)

             ทักษะการสื่อสารไม่ได้มีแค่เรื่องของการพูด การฟังอย่างลึกซึ้งเองก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจความต้องการของคู่สนทนาได้อย่างถูกต้อง เพราะการตั้งใจฟังจะทำให้ลูกค้าเห็นว่าเราเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจพวกเขา แม้อาจจะไม่ได้แสดงออกมาผ่านคำพูดตรง ๆ แต่การนำเสนอสินค้าและบริการอย่างตรงจุดก็เป็นหนึ่งในวิธีที่สะท้อนว่าเราเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาใดและต้องการการแก้ไขอย่างไร

2. เทคนิคการวิเคราะห์ความต้องการเชิงลึก (Needs Analysis Technique)

             ในขณะที่กำลังตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกค้าสื่อสารอยู่นั้น ให้เราลองวิเคราะห์ความต้องการด้วยการพยายามมองหาประเด็นหลักของบทสนทนาที่ลูกค้าพูดก่อน แล้วจึงค่อยระบุปัญหาที่ลูกค้าเจอ เมื่อเข้าใจปัญหาของลูกค้าแล้ว ลำดับต่อมาให้ลองเสนอแนะทางออก โดยอาจเป็นการให้คำแนะนำทั่วไป หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ซึ่งการเข้าใจความต้องการและนำเสนอทางออกที่ตรงจุด มีส่วนช่วยให้เราสามารถสร้างทั้งความพึงพอใจและความไว้วางให้แก่ลูกค้าได้ภายในเวลาเดียวกัน

3. เทคนิคการสร้างเรื่องเล่าที่น่าประทับใจ (Storytelling Technique)

             การนำเทคนิคการเล่าเรื่องมาใช้ให้ได้ผล จะต้องอาศัยการลำดับเหตุการณ์ในการเล่าให้ดี เพื่อดึงดูดความสนใจไปพร้อม ๆ กับการใช้คำที่เข้าใจง่ายในการอธิบาย เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจภาพรวมของสิ่งที่เราเล่า ส่วนลำดับต่อมา ให้สร้างความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องเล่ากับประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อให้เกิดจุดเกาะเกี่ยวระหว่างกัน ซึ่งประโยชน์ของการนำเทคนิคการสร้างเรื่องเล่าที่น่าประทับใจมาปรับใช้กับการขาย ได้แก่ การช่วยให้ลูกค้าเข้าใจประเด็นหลักที่เราต้องการจะสื่อสาร และจดจำรายละเอียดของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มาในรูปแบบของเรื่องเล่าได้ง่ายขึ้น

4. เทคนิคการสร้างคุณค่ามากกว่าราคา (Value Proposition Technique)

             เป็นเทคนิคการเสนอขายที่จะช่วยให้ลูกค้าทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือการบริการ โดยขั้นตอนการนำเทคนิคนี้ไปใช้จะเริ่มจากการชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสินค้าและบริการของเรา กับสินค้าของแบรนด์คู่แข่งในตลาด ก่อนที่จะพูดถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ และปิดท้ายด้วยการสรุปรวบยอดรายละเอียดทั้งหมดที่ได้พูดไป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า

ตัวอย่างของการพรีเซนต์สินค้าด้วยเทคนิคการสร้างเรื่องเล่าที่น่าประทับใจ

5. เทคนิคการจัดการข้อโต้แย้ง (Objection Handling Technique)

             เนื่องจากการโต้แย้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ระหว่างบทสนทนา ดังนั้นเทคนิคจัดการข้อโต้แย้งจึงเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่บรรดานักขายทุกคนควรทราบ เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ลูกค้ามีข้อกังวลหรือข้อสงสัย โดยการจัดการข้อโต้แย้งที่ดีควรเริ่มจากการทำความเข้าใจประเด็นที่เป็นข้อโต้แย้ง เพื่อสืบหาที่มาที่ไป หลังจากเข้าใจสาเหตุที่ลูกค้าโต้แย้งแล้ว ให้เรายกข้อมูลที่ตั้งอยู่บนฐานความเป็นจริงมาเสนอให้แก่ลูกค้าอย่างใจเย็น

6. เทคนิคการสร้างความน่าเชื่อถือ (Credibility Building Technique)

             การสร้างความน่าเชื่อถือ นับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยเทคนิคง่าย ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของนักขาย ได้แก่ การนำเสนอรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการด้วยความเชี่ยวชาญ และการนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง

7. เทคนิคการปิดการขายอย่างธรรมชาติ (Natural Closing Technique)

             เป็นขั้นตอนการการพรีเซนต์สินค้าลำดับสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้กับขั้นตอนอื่น ๆ เพราะหากเราพยายามปิดการขายมากเกินไป ลูกค้าอาจจะรู้สึกกดดันจนเปลี่ยนใจไม่ซื้อสินค้าหรือบริการได้ ดังนั้น เราจึงควรให้เวลาลูกค้าได้ตัดสินใจ ควบคู่ไปกับการสังเกตวาจาและภาษากาย ในกรณีที่ลูกค้ามีท่าทีว่าจะซื้อก็สามารถปิดการขายได้เลย แต่หากลูกค้ายังลังเล ให้ลองสอบถามลูกค้าว่ามีความกังวลใจตรงไหนหรือไม่ หากใช่ เราก็สามารถนำเสนอตัวเลือกอื่นให้ลูกค้าแทนตัวเลือกเดิมได้เช่นกัน

             สำหรับผู้ที่กำลังมองหางานในเชียงใหม่ หรือต้องการเปลี่ยนแปลงเส้นทางอาชีพมาเป็นนักขาย JOBTOPGUN พร้อมเป็นพันธมิตรที่จะช่วยผลักดันความฝันของคุณให้เป็นจริง เราเป็นแพลตฟอร์มที่มีตำแหน่งงานในเชียงใหม่ รวมไปถึงจังหวัดอื่น ๆ ให้เลือกมากมาย อีกทั้งแพลตฟอร์มของเรายังสามารถช่วยให้คุณค้นหาโอกาสทางอาชีพที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง ด้วยเทคโนโลยีการจับคู่งานอัจฉริยะ และ Super Resume ตัวช่วยที่ทำให้โปรไฟล์ของคุณโดดเด่นและน่าสนใจ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฟรีได้แล้ววันนี้ทั้งระบบ iOS และ Android

สมัครงานกับบริษัทชั้นนำทันที สร้าง Super Resume (ใบสมัครงาน) เลย ฟรี!

คำค้นหายอดนิยม

..
OSZAR »